Retinol vs Retin-A : ศึกบำรุงผิวระดับโมเลกุล ใครคือผู้ชนะ?

เปรียบชัด! Retinol vs Retin-A แตกต่างยังไง เลือกอะไรดีกว่ากัน

หลายคนคงคุ้นชื่อ Retin-A หรือ Tretinoin ซึ่งก็คือ Retinoic Acid – ตัวยาในกลุ่มวิตามินเอที่แพทย์ผิวหนังใช้มานานแล้ว ด้วยคุณสมบัติลดสิว ผลัดเซลล์ผิว และลดเลือนริ้วรอยอย่างทรงพลัง

แต่รู้ไหมว่า อีกฝั่งหนึ่งของสมรภูมิบำรุงผิว ก็มีคู่แข่งที่มาแรงและอ่อนโยนกว่า นั่นคือ Retinol แม้จะอ่อนโยนกว่า แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ “ไม่ธรรมดา” เช่นกัน

ความแรงไม่แพ้กัน แต่ระคายเคืองน้อยกว่า

  • ตามการศึกษา Retinoic Acid (Tretinoin) มีฤทธิ์แรงกว่า Retinol ประมาณ 10-20 เท่า 

  • แต่อย่าลืมว่า Retinoic Acid ที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยในเวชสำอางจะมีความเข้มข้น สูงสุดที่ 0.05% เท่านั้น

ขณะที่ในผลิตภัณฑ์เวชสำอางทั่วไป บางฟอร์มสามารถใช้ Retinol สูงได้ถึง 3% ซึ่งแม้จะฤทธิ์น้อยกว่า แต่เมื่อรวมปริมาณและสูตรเสริมเรื่องการดูดซึม กลับให้ผลลัพธ์ที่ทรงพลังไม่แพ้กัน และดีกว่าในระยะยาว

แล้วใครเหมาะกับอะไร?

  • ถ้าผิวแข็งแรงมาก ต้องการผลลัพธ์เร็ว และอยู่ในการดูแลของแพทย์ → Retinoic Acid / Tretinoin คือคำตอบ
  • แต่ถ้าคุณต้องการ ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง ปลอดภัย และอ่อนโยน → Retinol คือคำตอบในระยะยาว

เปรียบเทียบ Retinol vs Retinoic Acid

คุณสมบัติ

Retinol

Retinoic Acid (Tretinoin)

ความแรง

อ่อนกว่า (ต้องแปลงเป็นก่อนออกฤทธิ์)

แรงสุด (รูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ทันที)

ความระคายเคือง

น้อยกว่า เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

ระคายเคืองง่าย ผิวแห้ง แดง ลอกได้ง่าย

ความเร็วในการเห็นผล

ช้ากว่า (ใช้ต่อเนื่อง 8–12 สัปดาห์ขึ้นไป)

เร็วกว่า (เห็นผลใน 4–8 สัปดาห์)

การใช้ในเวชสำอางทั่วไป

ใช้ได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ (ห้ามจำหน่ายทั่วไป)

เหมาะกับใคร

มือใหม่, ผิวบอบบาง, คนที่เริ่มต้นดูแลผิวระยะยาว

ผู้มีประสบการณ์, ผิวทน, ต้องการผลเร็ว

การใช้งานร่วมกับสารบำรุงอื่น

ใช้ง่าย ผสานกับ Niacinamide, Peptides ได้ดี

ต้องระวังการผสมกับสารอื่น (เสี่ยงระคายเพิ่ม)

ความสามารถลดริ้วรอย-สิว

ดีมากในระยะยาว เมื่อใช้ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ดีมาก เห็นผลเร็ว โดยเฉพาะเรื่องสิวอักเสบและริ้วรอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *